จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประวัติของเมือง Manchester


แมนเชสเตอร์  เป็นนครและเมืองในสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแคว้นอังกฤษ มีชื่อเสียงจากการเป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลก และได้การยอมรับจากหลายฝ่ายว่าเป็นเมืองรอง (second city) ของสหราชอาณาจักร  แมนเชสเตอร์เป็นศูนย์กลางศิลปะ สื่อ และธุรกิจขนาดใหญ่ เมืองมีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากการกีฬา โดยมีสโมสรฟุตบอล 2สโมสร ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ซิตี และสโมสรคริกเก็ต แลงคาเชียร์ เคาน์ตี้ และเป็นเจ้าภาพ Commonwealth Games ครั้งที่ 17 เมื่อ ค.ศ. 2002
ชื่อของเมืองมาจากชื่อสมัยโบราณของอังกฤษ Mamucium รวมกับ ceaster จากภาษาละติน Castra แมนเชสเตอร์เป็นเขตเมืองที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น ชาวเมืองแมนเชสเตอร์ เรียกในภาษาอังกฤษว่า แมนคูเนียน (Mancunian)
แมนเชสเตอร์ (Manchester) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอับดับสองรองจากลอนดอน ในอดีตเป็นศูนย์กลางการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเป็นเมืองที่มีทางรถไฟสายแรกของโลก เชื่อมระหว่างแมนเชอสเตอร์และลิเวอร์พูล และยังเป็นที่ตั้งของทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียง คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ซิตี้





ประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้น

แมนเชสเตอร์ไม่มีหลักฐานการอยู่อาศัยของยุคก่อนประวัติศาสตร์มากนัก มีเพียงการค้นพบชุมชนกสิกรรมขนาดใหญ่ระหว่างการก่อสร้างลานวิ่งที่สองของท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์
มีการตั้งรกรากในแมนเชสเตอร์แล้วในยุคโรมันเป็นอย่างช้า[5] นายพลโรมัน ไนอุส ยูลิอุส อากริโคลา (Gnaeus Julius Agricola) ได้ก่อสร้างป้อมที่มีชื่อว่า มามูคิอุม ราว 70 ปีหลังคริสตกาล ที่บริเวณเนินเขา ซึ่งแม่น้ำเมดลอกและแม่น้ำเออร์เวลล์ มาบรรจบกัน ฐานของป้อมรุ่นสุดท้ายยังคงปรากฏอยู่ที่คาสเซิลฟิลด์ ชาวโรมันถอนตัวออกในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 และการตั้งถิ่นฐานได้ย้ายไปยังจุดที่แม่น้ำเออร์เวลล์และแม่น้ำเอิร์กบรรจบกันตั้งแต่ก่อนชัยชนะของชาวนอร์แมนที่อังกฤษในปีพ.ศ. 1609[6]
โทมัส เดอลาแวร์ เจ้าคฤหาสน์ ได้ก่อตั้งโบสถ์ของวิทยาลัยขึ้นสำหรับตำบลในปีพ.ศ. 1964 โดยปัจจุบันเป็นมหาวิหารแมนเชสเตอร์ และสถานที่วิทยาลัยได้เป็นที่ตั้งของห้องสมุดเชแทมและโรงเรียนดนตรีเชเทม
ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 แมนเชสเตอร์มีช่างทอผ้าชาวฟลามส์ไหลบ่ามาจำนวนมาก โดยมักถือว่าเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมสิ่งทอในภูมิภาค[7] แมนเชสเตอร์กลายมาเป็นศูนย์กลางสำคัญของการผลิตและค้าขายขนแกะและลินิน
เริ่มมีการใช้ฝ้ายปริมาณมากในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 17 โดยเริ่มต้นที่ผ้าฝ้ายผสมลินินเนื้อหยาบ แต่เมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 18 ผ้าฝ้ายบริสุทธิ์ก็เริ่มมีการผลิตและก็ได้เป็นวัสดุสำคัญแทนที่ขนสัตว์แม่น้ำเออร์เวลล์และเมอร์ซีย์สามารถแล่นเรือผ่านได้ในปี พ.ศ. 2279 เปิดเส้นทางจากแมนเชสเตอร์ไปยังท่าเรือนฝั่งเมอร์ซีย์ คลองบริดจ์วอเทอร์ (Bridgewater canal) เปิดใช้ในปี พ.ศ. 2304 นำถ่านหินจากเหมืองที่เวอร์สลีย์มายังใจกลางแมนเชสเตอร์ คลองนี้ขยายต่อไปยังเมอร์ซีย์ในปีพ.ศ. 2319 การแข่งขันและประสิทธิภาพที่พัฒนาขึ้นทำให้ต้นทุนถ่านหินและค่าขนส่งฝ้ายดิบลดลงถึงครึ่งหนึ่ง แมนเชสเตอร์กลายมาเป็นตลาดสำคัญของสิ่งทอจากเมืองรอบๆ ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า เปิดขึ้นในปีพ.ศ. 2272 และคลังสินค้าจำนวนมาก ช่วยพัฒนาการพานิชย์ของเมือง ในปีพ.ศ. 2323 ริชาร์ด อาร์กไรท์ (Richard Arkwright) เริ่มก่อสร้างโรงฝ้ายแห่งแรกของแมนเชสเตอร์




วัฒนธรรม

แมนเชสเตอร์มีชื่อเสียงมากในเรื่องชีวิตกลางคืน วัฒนธรรมคลับดีเจสมัยใหม่เริ่มขึ้นที่เมืองนี้ และคลับที่นี่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ การเริ่มต้นของดนตรีเฮาส์ แมดเชสเตอร์ซาวนด์(Madchester sound) และดนตรีแนว Ibiza
แมนเชสเตอร์เป็นต้นกำเนิดของวงดนตรีที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับนานาชาติ ตัวอย่างเช่น นิวออร์เดอร์เดอะสมิธส์เดอะเคมิคอลบราเทอร์สเอ็มพีเพิลแบดลีดรอนบอยโอเอซิสเอลโบว์ซิมพลีเรดเทกแดต และ เดอะสโตนโรสเซส
ในเมืองมีโรงละคร ศูนย์แสดงงานศิลปะ และพิพิธภัณฑ์จำนวนมาก
ยกเว้นลอนดอนแล้ว แมนเชสเตอร์มีประชากรเกย์และเลสเบี้ยนมากที่สุดในประเทศ

การปฏิวัติอุตสาหกรรม

การปั่นฝ้ายส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่แลงคาเชอร์ใต้และเชสเชอร์เหนือ เขตรอบนอกของแมนเชสเตอร์ และในช่วงหนึ่งแมนเชสเตอร์ได้เป็นศูนย์กลางการผลิตฝ้ายที่มีการผลิตมากที่สุด และในเวลาต่อมา เป็นตลาดสินค้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก แมนเชสเตอร์มีฉายาว่า "คอตตอโนโพลิส" และ "แวร์เฮาส์ซิตี" ในยุควิกตอเรีย
แมนเชสเตอร์พัฒนาอุตสาหกรรมในหลากหลายสาขา ทำให้ได้รับยกย่องว่า ในปี พ.ศ. 2378 "แมนเชสเตอร์เป็นเมืองอุตสาหกรรมแรกและที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไม่มีข้อสงสัย ธุรกิจทางวิศวกรรมเริ่มแรกเกี่ยวข้องกับการค้าฝ้าย แต่ภายหลังขยายไปยังการผลิตทั่วไป อุตสาหกรรมเคมีก็เริ่มต้นจากการผลิตน้ำยาฟอกสีและย้อมสี และจึงขยายไปยังสาขาอื่น การค้าขายได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจการเงิน เช่น การธนาคารและการประกันภัย การค้าขายและประชากรที่เพิ่มขึ้นจำเป็นต้องมีระบบขนส่งและจัดจำหน่าย ทำให้มีการขยายระบบคลอง และแมนเชสเตอร์กลายมาเป็นเมืองปลายทางหนึ่งในทางรถไฟโดยสารระหว่างเมืองสายแรกของโลก นั่นคือทางรถไฟลิเวอร์พูล-แมนเชสเตอร์ การแข่งขันระหว่างการขนส่งหลากหลายรูปแบบทำให้ต้นทุนการขนส่งต่ำ[6] ในปีพ.ศ. 2421 จีพีโอ หรือสำนักงานไปรษณีย์ ให้บริการโทรศัพท์ครั้งแรกกับบริษัทในแมนเชสเตอร์[11]
มีการขุดคลอง แมนเชสเตอร์ ชิป เคอนาล (Manchester Ship Canal) ช่วยให้เรือจากมหาสมุทรตรงเข้าสู่ท่าเรือแมนเชสเตอร์ได้ โดยนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลกเกิดขึ้นบนชายฝั่งคลองนี้ที่แทรฟฟอร์ดพาร์ก ในฐานะศูนย์กลางของระบอบทุนนิยม ก็ได้มีการจลาจลจากกลุ่มชนชั้นแรงงาน แมนเชสเตอร์เป็นหัวข้อศึกษาในเรื่อง ความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานในอังกฤษ (Die Lage derarbeitenden Klasse in England) ของฟรีดริช เองเงิลส์ โดยเองเงิลส์ได้ใช้เวลาพอสมควรในและรอบๆแมนเชสเตอร์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งลดโอกาสการส่งออกในเวลาต่อมา
 จำนวนโรงปั่นฝ้ายในแมนเชสเตอร์ขึ้นถึงจุดสูงสุด 108 แห่งในปีพ.ศ. 2396 ในปีพ.ศ. 2456 ร้อยละ 65 ของฝ้ายในโลกผลิตขึ้นในบริเวณนี้

กีฬา

แมสเชสเตอร์ เป็นเมืองที่เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองกีฬา มีสโมสรพรีเมียร์ลีก 2 สโมสรที่ใช้ชื่อเมืองในชื่อสโมสร คือ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันครองแชมป์เอฟเอคัปและพรีเมียร์ลีก ตามลำดับ แมนเชสเตอร์ซิตีมีสนามกีฬาเหย้าคือสนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์ จุคนได้เกือบ 48,000 คน ส่วนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีสนามกีฬาเหย้าคือ โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร จุคนได้ 76,000 คน ถือเป็นสนามกีฬาในอังกฤษแห่งเดียวที่จัดการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดตัดสิน โดยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 และยังเป็นสนามที่จัดซูเปอร์ลีกแกรนด์ไฟนอลของรักบี้ลีก สโมสรคริกเกตแลนคาเชียร์เคาน์ตี ก็ใช้สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นกีฬาเหย้าเช่นกัน






ประชากรศาสตร์

เปรียบเทียบข้อมูลประชากร[20][21]
สำมะโนประชากร 2544แมนเชสเตอร์มหานครแมนเชสเตอร์
(Greater Manchester)
อังกฤษ
ประชากรทั้งหมด441,2002,547,70049,138,831
เกิดในต่างประเทศ15.0%7.2%9.2%
ผิวขาว81.0%91.0%91.0%
เอเชีย9.1%5.7%4.6%
ผิวดำ4.5%1.2%2.3%
อายุ 75 ปีขึ้นไป6.4%7.0%7.5%
คริสต์62.4%74%72%
มุสลิม9.1%5.0%3.1%
จากการสำรวจจำนวนประชากรในปีพ.ศ. 2544 แมนเชสเตอร์มีประชากร 392,819 คน ลดลงจากปีพ.ศ. 2534 9.2 เปอร์เซนต์ ในจำนวนนี้ ประมาณ 8.3 หมื่นคนอายุต่ำกว่า 16 ปี 2.85 แสนคนอายุระหว่าง 16-74 ปี และ 2.5 หมื่นคนอายุ 75 ปีขึ้นไป
75.9 เปอร์เซนต์ของประชากรแมนเชสเตอร์ระบุว่าตนเกิดในสหราชอาณาจักร แมนเชสเตอร์มีอัตราการจ้างงานต่อประชากรต่ำเป็นลำดับสองของสหราชอาณาจักร โดยให้เหตุผลว่า มีประชากรที่เป็นนักศึกษาจำนวนมาก[22] จากการประมาณการกลางปี พ.ศ. 2549 แมนเชสเตอร์มีประชากรประมาณ 4.52 แสนคน เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในอังกฤษตะวันตกเฉียงเหนือ ในประวัติศาสตร์ ประชากรของแมนเชสเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงยุควิกตอเรีย โดยพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 766,311 ในปีพ.ศ. 2474 ก่อนที่จะลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
ชื่อของเมืองมาจากชื่อสมัยโบราณของอังกฤษ Mamucium รวมกับ ceaster จากภาษาละติน Castra แมนเชสเตอร์เป็นเขตเมืองที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น ชาวเมืองแมนเชสเตอร์ เรียกในภาษาอังกฤษว่า แมนคูเนียน (Mancunian)
เมือง แมนเชสเตอร์ ถูกค้นพบโดย ชาวโรมัน ที่เรียกตัวเองว่า MAMUCIAM เมื่อเกือบสองพันปีที่แล้ว และ พวกเขา ได้ตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ว่า "GIULIO AGRICOLA" ทั้งยังสร้างประสาทไว้ในเมืองแห่งนี้ด้วย แต่แล้ว พวก MAMUCIAM ก็ละทิ้งเมืองๆนี้ และปราสาทที่พวกตนสร้างไป โดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากตั้งรกรากกันได้ประมาณสี่ร้อยปี หลังจากนั้นอีกยี่สิบปี ชาวเยอร์มันที่เรียกตัวเองว่า SAXON ก็ได้เข้ามาพบดินแดนแห่งนี้ แล้วตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ขึ้นใหม่ว่า "MANIGCEASTRE"(มานิเดียอาสเตอร์) และหลังจากนั้นอีกสามร้อยปี พวก SAXON ก็ได้สร้างโบสถ์ประจำเมืองเป็นครั้งแรก ซึ่งมีลักษณะการออกแบบ ค่อนข้างแปลกว่าที่อื่นในสมัยนั้น แมนเชสเตอร์ในตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของ เมือง Northumbria(ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ นิวคาสเซิล) ในปี ค.ศ. 870 ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกยึกโดยชาวเดนมาร์ค แต่หลังจากนั้น เพียงไม่ถึงร้อยปี พวก SAXON ก็ได้กลับมายึดดินแดนของตนเองคืน และเปลี่ยนชื่อดินแดนแห่งนี้เป็น "MAMECEASTRE"(แมมิแคสเตอร์) และได้ย้ายเมืองหลวงของดินแดนทางเหนือมาอยู่ที่แมนเชสเตอร์ แต่แล้วอีกร้อยปีถัดมา ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือ โดยชาว NORMAN จากฝรั่งเศษ และ ราชาวิลเลี่ยมที่หนึ่งซึ่งเป็นชาวนอร์แมน ก็ได้สถาปนาเมือง Salford ขึ้นเป็นหัวเมืองหลัก ควบคุมดูแล และเก็บภาษี เมืองแมนเชสเตอร์ และดินแดนโดยรอบ อีกสามร้อยปีถัดมา เมืองนี้ได้นำเข้าวัตุดิบและเทนโนโลยีสิ่งทอจากเบลเยียมเข้ามา และ กลายเป็นเมืองอันดับหนึ่งของอังกฤษในด้านสิ่งทอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ใน ปี 1455 ได้เกิดสงครามกลางเมืองของอังกฤษขึ้น ระหว่างฝ่ายกุลาบขาว(york) และ กุลาบแดง(Lancaster) เมืองแมนเชสเตอร์เข้าร่วมเป็นหัวเมืองหลักให้กับฝ่าย Lancaster ซึ่งมีลอนดอนเป็นเมืองหลวงของ Lancaster ในขณะนั้น และเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ ต่อต้านฝ่าย Yorkshire ไม่ให้ลงมาทางใต้ได้ เมืองแมนเชสเตอร์จึงได้เป็นเมืองที่ได้รับยกย่อง และมีชื่อเสียงอย่างมากในขณะนั้น และในช่วง ค.ศ. 1700 แมนเชสเตอร์ได้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางสิ่งทอของโลกอย่างเต็มตัว และช่วงนั้นเองที่เป็นช่วงที่เมืองแมนเชสเตอร์ขัดแย้งกับเมืองลิเวอร์พูล ทำให้เกิดการหมั่นไส้กันและกัน จนลามมาถึงเรื่องฟุตบอลจนถึงทุกวันนี้

มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ได้แก่ University of Manchester และ Manchester Metropolitan University

การเดินทาง โดยรถไฟจากสถานีลอนดอนยูสตัน (London Euston Station) กรุงลอนดอน ไปสถานีแมนเชสเตอร์พิกคาดิลลี (Manchester Piccadilly Station) โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที 
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Square), ศาลาว่าการ (Town Hall), จัตุรัสอัลเบิร์ต (Albert Square), จัตุรัสลินคอล์น (Lincoln Square), ชิงช้าสวรรค์ชมเมือง, พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม (MOSI), สนามฟุตบอลโอลด์แทรฟฟอร์ด (Old Trafford Stadium)

แหล่งชอปปิงที่สำคัญ ได้แก่ ถนนมาร์เกต (Market Street), ย่านอาร์นเดล, ถนนคอร์เปอเรชั่น (Corporation Street) และห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เช่น เซลฟริดเจสแอนด์โค ไทรแองเกิล และฮาร์วีย์นิโคลส์ เป็นต้น

เมือง เเมนเชสเตอร์ มีสโมสร ใหญ่ อยู่ถึง 2ทีม คือ 1. Manchester united 
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (อังกฤษManchester United Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ มีสนามเหย้าคือโอลด์แทรฟฟอร์ดในเมืองแมนเชสเตอร์ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสโมสรหนึ่ง โดยชนะเลิศแชมป์ลีก 20 ครั้ง (เอฟเอ พรีเมียร์ลีก/ดิวิชัน 1) ชนะเอฟเอคัพ 11 ครั้ง ลีกคัพ 3 ครั้ง ยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 3 ครั้ง และชนะ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพ อินเตอร์เนชันแนลคัพ และ ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ อย่างละ 1 ครั้ง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรกีฬาที่ได้รับความนิยมสูง โดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีสถิติผู้เข้าชมมากที่สุดในฟุตบอลอังกฤษตลอด 34 ฤดูกาล ยกเว้นในฤดูกาล 1987–89 ที่ปรับปรุงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 สโมสรได้ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัดมหาชน อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2548 มัลคอล์ม เกลเซอร์ได้เทคโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตรเป็นผลสำเร็จ และนำสโมสรออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน

สโมสรในช่วงแรก (1878-1945)


11 ตัวจริงหลักของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในช่วงปี ค.ศ. 1913
สโมสรในช่วงแรก (1878-1945) สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่จริงแล้วชื่อเดิมของสโมสรนั้น คือ "นิวตัน ฮีท " ในปี ค.ศ.1878 พนักงานการรถไฟสายแลงคาเซี้ยร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ แผนกรถสินค้าและรถโดยสารของบริษัทรถไฟแอล.และวาย. (Lancashire and Yorkshire Railway (LYR) ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารมื้อเย็นอยู่นั้น พวกเขาได้ร่วมก่อตั้งทีมฟุตบอลกันขึ้นมา และตระเวณเล่นกันอยู่ในแถบเมืองนอร์ธกราวด์ ซึ่งอยู่ในนิวตัน ฮีท สถานที่ซ้อมก็ใช้รางรถไฟ เป็นเส้นแบ่งเขตสนาม ตลอดจนเสียงและควันจากรถไฟรถจักรไอน้ำ ทีมฟุตบอล นิวตัน ฮีท (แลนแคเชียร์ แอนด์ ยอร์ดเชียร์เรลเวย์) ที่พวกเขา ตั้งขึ้นมาก็เล่น ฟุตบอล กัน ได้อย่างดีเยี่ยมน่าประทับใจ โดยชุดแข่งที่ใช้เสื้อสีเขียว-เหลือง อย่างละครึ่ง กางเกงสีดำเป็นชุดเก่ง พนักงานที่อยู่ในแถบนั้น แพ้นิวตัน ฮีท กระจุย ในปี 1885 สมาชิกในทีมได้ตัดสินใจติดต่อกับการรถไฟ และก่อตั้งทีมเพื่อเป็น บริษัท จำกัด โดยใช้ชื่อว่า นิวตัน ฮีท ฟุตบอลคลับ ผลงานชิ้นแรกของเขาคือการคว้าแชมป์ แมนเชสเตอร์ คัพมาครอง นั้นคือถ้วยแรกของทีม นิวตัน ฮีท ในช่วงต้นของสโมสรฟุตบอลทุก ๆ สโมสรในขณะนั้น ต่างก็มีฐานะการเงินที่ย่ำแย่ นิวตัน ฮีท ก็เช่นเดียวกัน
ในปี 1902 นักเตะต้องจำนำชุดเพื่อนำมาใช้จ่ายแทนค่าจ้าง ขณะที่ สโมสร ฯ เป็นหนี้ถึง 2,670 ปอนด์ ซึ่งต้องถูกฟ้องล้มละลาย จุดพลิกผันได้เกิดขึ้น จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ ผู้อำนวยการบริษัทเบียร์ ได้เข้ามาซื้อหุ้นของสโมสร และกรรมการบริหารชุดใหม่ ได้เปลี่ยนชื่อนิวตัน ฮีท เป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาเริ่มลงเล่นในเสื้อแดงและกางเกงขาสั้นสีขาว อีก 6 ปีต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1907 - 1908 ในฤดูกาลต่อมาพวกเขาก็คว้าแชมป์ เอฟเอคัพได้สำเร็จ จากความสำเร็จทำให้ จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ คิดที่จะย้ายสโมสรจากเดิมที่แบ๊งค์สตรีท ไปอยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1910 สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด ก็ถูกเปิดใช้เป็นครั้งแรกและคู่แค้นตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ก็บุกมาเฉือนพวกเขา
2. Manchester city
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี (อังกฤษManchester City Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอล ที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ตั้งอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2423 ในชื่อเซนต์มาร์ก (เวสต์กอร์ดอน) และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลสมาพันธ์อาร์วิก ในปี พ.ศ. 2430 และชื่อล่าสุดคือ แมนเชสเตอร์ซิตีในปี พ.ศ. 2437 โดยใช้สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์ เป็นสนามเหย้าตั้งแต่ พ.ศ. 2546 ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ใช้สนามเมนโรด เป็นสนามเหย้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 เป็นสโมสรที่ได้รับความสำเร็จตั้งแต่ช่วงปลายยุค 1960 จนถึงช่วงต้นยุค 1970 ซึ่งชนะเลิศลีกแชมเปียนชิพเอฟเอคัพลีกคัพ และยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ภายใต้การคุมทีมสโมสรของโจ เมอร์เซอร์ และมัลคอล์ม อัลลิสัน

ประวัติสโมสร[แก้]

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) ในชื่อทีม “เซนต์มาร์กส์ (เวสต์กอร์ตัน) ” โดยมี แอนนา คอนเนลล์ และ ผู้ดูแลโบสถ์ เซนต์ มาร์กส์ อีก 2 คน เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
แต่เดิม ทีมนี้ตั้งอยู่ที่ ตำบลกอร์ตัน ทางตะวันออก ของเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่สนามใหม่ ในย่านไฮด์ โรด ของเมืองอาร์ดวิก ใกล้กับแมนเชสเตอร์ และได้เปลี่ยนชื่อทีมไปเป็น “อาร์ดวิกเอเอฟซี” ตามสถานที่ตั้ง จากนั้น อาร์ดวิก ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกอังกฤษ ในฐานะสมาชิกก่อตั้ง ในระดับดิวิชั่น 2 เมื่อปีพ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892)
กระทั่งถึง ฤดูกาล 2436 - 2437 (ค.ศ. 1893 - 1894) ทีมมีปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก จนต้องมีการรื้อระบบการบริหารทีมครั้งใหญ่ และเปลี่ยนชื่อเป็น “แมนเชสเตอร์ซิตีฟุตบอลคลับ” จนถึงปัจจุบัน
ทีมได้เริ่มต้นความยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นแชมป์ ฟุตบอลลีกดิวิชั่น 2 ของอังกฤษ เป็นแชมป์แรก เมื่อปี พ.ศ. 2442 (ค.ศ. 1899) ทำให้พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นไปอยู่ใน ดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดของอังกฤษ (ในเวลานั้น) ก่อนจะมาได้แชมป์เอฟเอคัพ หลังเฉือนชนะ โบลตัน 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904)
ขณะที่ผลงานกำลังไปได้ดี แต่กลับเกิดเพลิงไหม้ สนาม "ไฮด์โรด" ในปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) อัฒจันทร์หลักเสียหายอย่างมาก จนทำให้ต้องย้ายไปใช้ สนาม "เมนโรด" เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ ในปี พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923)
กระทั่งในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) ได้ย้ายสนามเหย้าอีกครั้ง ไปที่ "เอติฮัด สเตเดียม" ซึ่งเป็นสนามปัจจุบัน ที่มีความโอ่อ่า ทันสมัย มีความจุถึง 48,000 ที่นั่ง โดยเช่าจากสภาเมืองแมนเชสเตอร์เป็นเวลาถึง 250 ปี และใช้เงินอีกราว 35 ล้านปอนด์ ในการปรับปรุงสนาม หลังจากใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ ในปีพ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002)
การย้ายมาใช้สนามเหย้าแห่งใหม่ ทำให้สามารถรองรับแฟนบอลได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นทีมที่มีแฟนบอลมากเป็นพิเศษ และติดตามเชียร์อย่างเหนียวแน่นมาตลอด แม้ทีมจะตกลงไปสู่ดิวิชั่นต่ำๆ ในหลายครั้งก็ตาม ปัจจุบัน ทีมมียอดผู้ชมในนัดเหย้า เฉลี่ยกว่า 39,000 คน ต่อนัด และคาดว่าจะมีชาวอังกฤษไม่ต่ำกว่า 400,000 คน และคนทั่วโลก อีกกว่า 2 ล้านคน ที่เป็นแฟนบอลของทีม

สนามฟุตบอลเอติฮัด สนามเหย้าของสโมสร
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีม กว่า 1 ศตวรรษ มีเกียรติยศที่บันทึกไว้ คือ เป็นแชมป์ลีกสูงสุด 2 สมัย ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) และ พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) แชมป์เอฟเอคัพ 4 สมัย แชมป์ลีกคัพ 2 สมัย และ เป็นแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 สมัย
ในยุคที่นับว่ารุ่งเรืองที่สุด คือ ช่วงปลายปี พ.ศ. 2500เรื่อยมา เนื่องจากทีมชุดนี้ สามารถขึ้นไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้หลายรายการ โดยมี โจ เมอร์เซอร์ เป็นผู้จัดการทีม และ มัลคอล์ม อัลลิสสัน เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม รวมถึง มียอดนักเตะชื่อดังมากมาย อาทิ โคลิน เบลล์
แต่หลังจากเป็นแชมป์ลีกคัพ ในปี พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) พวกเขาก็ไม่ได้ขึ้นถึงตำแหน่งแชมป์ ในรายการสำคัญอีกเลย และยังมีผลงานไม่ค่อยดีนักมาตลอด โดยเฉพาะ ในช่วงปีพ.ศ. 2530 พวกเขาต้องตกชั้น 2 ครั้ง ในรอบ 3 ปี จนลงไปอยู่ใน ดิวิชั่น 3 เดิม อยู่ถึง 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ทีมก็สามารถกลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด และยังคงรักษาตัวไว้ได้อย่างมั่นคง แม้ผลงานของทีม มักอยู่ในช่วงกลางตาราง ค่อนไปทางท้ายก็ตาม โดยจบ ฤดูกาล 2006-2007ในอันดับที่ 14 ของพรีเมียร์ลีก
ในฤดูกาล 2011-2012 แมนเชสเตอร์ซิตี มีผลงานดีมาโดยตลอดตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา โดยขึ้นเป็นที่ 1 ของตารางคะแนน และยึดอันดับนี้มาตลอด และมีบางช่วงที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับร่วมเมืองขึ้นแซงไปเป็นที่ 1 บ้าง จนกระทั่งมาจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของการแข่งขัน ทั้งคู่มีคะแนนเท่ากัน คือ 86 คะแนน แต่ผลต่างของประตูได้เสียของแมนเชสเตอร์ซิตีดีกว่าถึง 8 ลูก โดยแมนเชสเตอร์ซิตีจะต้องพบกับ ควีนปาร์คแรนเจอส์ ที่เอติฮัดสเตเดียม สนามของตนเอง ขณะที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายออกไปเยือน ซันเดอร์แลนด์ ซึ่งทั้งคู่ต้องการชัยชนะทั้งคู่ หากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ชนะ แล้วแมนเชสเตอร์ซิตีทำได้แค่เสมอหรือแม้กระทั่งแพ้ แชมป์จะตกอยู่ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทันที ปรากฏว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เอาชนะซันเดอร์แลนด์ไปได้ 0-1 ประตู แล้วในเกมที่แมนเชสเตอร์ซิตีพบกับควีนปาร์คแรนเจอส์นั้น แมนเชสเตร์ซิตีไม่อาจทำอะไรได้อย่างถนัดถนี่เกือบตลอดการแข่งขัน เพราะนักฟุตบอลแต่ละคนถูกประกบตลอด และกลายเป็นควีนปาร์คแรนเจอร์สขึ้นนำไป 1-2 ประตู ในนาทีที่ 60 จนกระทั่งถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แมนเชสเตอร์ซิตี พลิกกลับขึ้นมานำในนาทีที่ 91 และ 94 อย่างปาฏิหาริย์ ชนะไป 3-2 และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง หลังจากรอคอยมานานกว่า 44 ปี
แต่ในฤดูกาลถัดมา แมนเชสเตอร์ซิตีกลับไม่ประสบความสำเร็จ โดยไม่ได้แชมป์อะไรเลย อีกทั้งเมื่อเข้าชิงเอฟเอคัพกับ วีแกนแอธเลติก ซึ่งเป็นทีมขนาดเล็กกว่าที่เพิ่งเคยเข้าชิงแชมป์ถ้วยใบนี้เป็นครั้งแรก ก็กลับเป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บริหารทีมตัดสินใจปลด โรแบร์โต มันชีนี ผู้จัดการชาวอิตาเลียนออกจากตำแหน่ง


ท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์ (Manchester Airport) เป็นท่าอากาศยานหลักของ แมนเชสเตอร์ อังกฤษ เปิดให้บริการเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2481 โดยใช้ชื่อว่าท่าอากาศยานริงเวย์ (Ringway Airport) และในช่วงสางครามโลกครั้งที่ 2 ว่า ฐานทัพอากาศริงเวย์ (RAF Ringway) และตั้งแต่ปีพ.ศ. 2518 ถึง 2529 ใช้ชื่อว่า ท่าอากาศยานนานาชาติแมนเชสเตอร์ (Manchester International Airport) ท่าอากาศยานแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเมืองเชสไชร์และแมนเชสเตอร์ ในเขตมณฑลแมนเชสเตอร์
ท่าอากาศยานแห่งนี้ประกอบด้วยทางวิ่ง 2 เส้น อาคารผู้โดยสาร 3 หลัง และมีสถานีรถไฟ บริหารงานโดย Manchester Airport Group